> พระราชประวัติ 
 > พระราชบิดาแห่งอักษรไทย
 > พระเกียรติคุณแผ่ไพศาล 
 > ธรรมะในศิลาจารึก 
 > ปกิณกะ 
    .... พระบรมสาทิสลักษณ์  
    .... มุมมองนักวิทยาศาสตร์ 
    .... ไม่มีผู้ใดปลอมได้ 
    ....    
 > สัตยาธิษฐาน 

 > บรรณานุกรม 
 > คณะผู้จัดทำ 

 > หน้าแรก 

 

พระบรมสาทิสลักษณ์ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (ต่อ)

          อาจารย์ลาวัณย์ทดสอบตนเองด้วยการนำภาพสเก็ตช์อนุสาวรีย์ไปให้ อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ดูโดยไม่เล่าอะไรให้ฟังทั้งสิ้น อาจารย์เฟื้อ ท่านกล่าวว่าเป็นศิลปะสมัยสุโขทัย 

          พ่อขุนรามคำแหงให้เหตุผลที่ปรากฏพระองค์ขณะมีพระชนมพรรษาได้ ๓๕ พรรษา ว่า  "คนเรามีการเจริญเติบโตสูงสุดทั้งทางร่างกายและสมองในวัยนี้ หลังจากนี้จะเริ่มเสื่อม ถ้าไม่มีการหมั่นลับไว้ก็จะทู่ แต่ขอให้ผู้ปั้น ปั้นให้แก่กว่าที่เห็นเพื่อจะทำให้ดูสวย"

          สำหรับเรื่องฉลองพระองค์นั้น แม้แต่คนวาดเองยังรู้สึกประหลาดใจที่แบบเสื้อผ้ากระเดียดออกไปทางพราหมณ์ ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงบอกไว้กับคุณศรีเพ็ญว่า ฉลองพระองค์ชุดที่วิจิตรกว่านี้ก็มี แต่ด้วยความสงสารช่างวาดที่มองไม่เห็น จึงทรงชุดที่ง่ายที่สุดมาเป็นแบบ     กระนั้นก็ตามที ในการวาดยังประสบปัญหาเพราะรองพระบาทที่พระองค์สวมนั้น ผู้เข้าสมาธิยืนยันว่าเห็นเป็นสีเทาใสมองเห็นพระบาท คนวาดก็ขัดใจเหลือกำลังเพราะไม่เชื่อว่ามีพลาสติกในสมัยนั้น พระองค์จึงตอบให้หายข้องใจว่า พระองค์ได้รับบรรณาการจากพระเจ้ากรุงจีน ทอจากไหมใยแก้ว

"รู้สึกลำบากใจเหมือนกัน เพราะปกติจะเป็นคนที่ชอบวาดตามอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง แต่นี่ต้องมาวาดตามคำบอกของคุณศรีเพ็ญทุกอย่าง ผมมวยที่พระองค์เกล้าไว้ด้านหลังก็จะต้องอยู่บริเวณโหนก ตรงท้ายทอย มิฉะนั้นจะกลายเป็นคนระดับอื่นไป แบ็กกราวนด์ต่างๆ มาจากคำบอก คือทุกอย่างไม่ได้เกิดจากเราเลย"

          อาจารย์ลาวัณย์ วาดพระบรมสาทิสลักษณ์เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๐ และเสร็จสมบูรณ์วันที่ ๑๘ ตุลาคม ปีเดียวกันนั่นเอง ภาพวาดได้รับการเสนอต่อ ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี แต่ผลก็คือ ไม่ได้มีการจัดสร้างเป็นอนุสาวรีย์อย่างที่ประสงค์แต่แรกเพราะทางโรงหล่อของกรมศิลปากรปั้นเสร็จแล้ว

"ระหว่างที่วาดรูปกันไป ทางโรงหล่อที่กรมศิลปากรก็ขึ้นรูปไป พระองค์ยังเสด็จไปดูเลยท่านบอกว่า ไม่เหมือนท่าน แล้วเรื่องรูปวาดที่ท่านนายกฯ ไม่ได้ทำอะไรนี่ มีคนจะบริจาคเงินให้สร้าง  ท่านบอกว่า รูปปั้นคนคนเดียวไม่ต้องสร้างหลายรูป เป็นการสิ้นเปลือง เมื่อสร้างแล้วก็แล้วกัน แม้ว่าจะฉิวอยู่บ้างที่ขอให้พระองค์มาเป็นแบบเพื่อสร้างอนุสาวรีย์แล้วไม่ได้สร้าง"

          เรื่องเล่าที่มีส่งท้ายไว้เล็กน้อย มาจากถ้อยคำที่บันทึกไว้ของอาจารย์จุลทัศน์ พยาฆรานนท์  อาจารย์พิเศษประจำคณะสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร  คือ  หลังการวาดรูปแล้ว คุณศรีเพ็ญได้มีประสบการณ์ไปร่วมสำรวจโบราณสถานกับอาจารย์จุลทัศน์ หลายแห่งด้วยกัน  คุณศรีเพ็ญได้ทำให้อาจารย์จุลทัศน์ ถึงกับอดทึ่งไม่ได้ เพราะสามารถบอกได้เป็นฉากว่า ที่ตรงนี้อดีตเคยเป็นอย่างไร ใช้ทำอะไร โดยเวลาที่ไปถึงนั้นจะพูดคุยกับผู้รักษาสถานที่ และบางแห่งพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นผู้ชี้ตำแหน่งและอธิบายเองด้วย 

         อาจารย์จุลทัศน์ทดสอบแล้วทดสอบอีกว่าคุณศรีเพ็ญจะเป็นคนลวงโลกหรือเปล่า ทั้งที่ทราบดีว่าคุณศรีเพ็ญไม่มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีเลย 

         ครั้งหนึ่งถึงกับลงทุนเขียนอักขระบนศิลาจารึก คำว่า "พ่อกู" ให้คุณศรีเพ็ญเข้าสมาธิไปถามผู้รักษา ณ โบราณสถานแห่งหนึ่ง  ขณะกำลังสนทนากัน พอคุณศรีเพ็ญออกจากสมาธิก็ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "เขาบอกว่า อ่านว่า พ่อกู ไม่ใช่พ่อมึง" เล่นเอาหลายๆ ท่านที่อยู่ ณ ที่นั้น อึ้งไปเหมือนกัน

*********

         

อ่านหน้าที่ ๑ ......


ธนกร ช่อไม้ทอง : เรียบเรียง 
เนื้อความส่วนใหญ่มาจากบทความ "เข้าทรงพ่อขุนรามคำแหงฯ ถกแถลงประวัติศาสตร์ไทย" 
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีพระพุทธศักราช  ๒๕๓๖ 
ขณะให้สัมภาษณ์ เมื่อปีพระพุทธศักราช ๒๕๓๖ นั้น คุณศรีเพ็ญ อยู่ในวัย ๔๘ ปี     ให้เป็นวิจารณญาณของผู้อ่าน  เพราะการพิสูจน์ทราบ ผู้พิสูจน์ต้องสามารถฝึกปฏิบัติได้ตั้งแต่ระดับ มโนมยิทธิ หรือ วิชชาสาม หรือ ได้ในทิพยจักขุญาณ